จากการถอดรหัสสู่การอ่านจารึกโบราณ

จากการถอดรหัสสู่การอ่านจารึกโบราณ

ชื่อหนังสือ: ความลับรหัสลับ (The Code Book)
ผู้เขียน : ไซมอน ซิงห์ (Simon Singh)
ผู้แปล : ชาคร จันทร์สกุล และ ชิดชนก เธียรผาติ
สำนักพิมพ์ : WeLearn
จำนวนหน้า : 552 หน้า

ความลับอยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่โบราณกาล และเมื่อมนุษย์มีความลับที่ต้องบอกให้คนอื่นฟัง แต่ไม่อยากให้รู้กันทั่วไป มนุษย์จึงคิดสิ่งที่เรียกว่า "รหัส" ที่ช่วยป้องกันไม่ให้ความลับเผยแพร่เป็นวงกว้าง

เช่นกษัตริย์ที่ต้องบัญชากองทัพโดยไม่ให้ศัตรูรู้ หรือกบฎที่แอบนำความลับในอาณาจักรต่าง ๆ ไปบอกฝ่ายตรงข้าม ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งกาลเวลาผ่านไป มนุษย์ก็ยิ่งฉลาดขึ้น มีเทคโนโลยีล้ำหน้ามากขึ้น และก็มีความลับมากขึ้นด้วย รหัสลับจึงต้องพัฒนามากขึ้นตาม

หนังสือ The Code Book โดยคุณ Simon Singh รวบรวมประวัติศาสตร์ของรหัสลับต่าง ๆ ทั้งที่เคยใช้ตั้งแต่สมัยกรีก รหัสที่ใช้ในสงครามโลก ไปจนถึงรหัสที่อาจจะถูกใช้ในอนาคต

โดยจุดเด่นของของหนังสือเล่มนี้คือคุณ Simon เขียนโดยไม่ทิ้งคนอ่าน เขาพยายามเล่าแนวคิดของรหัสแบบต่าง ๆ รวมทั้งข้อดี ข้อเสียของแต่ละรหัส ทำให้เห็นว่ารหัสที่จะแนะนำต่อไปมาแก้ไขปัญหาในรหัสเดิมได้อย่างไร รวมถึงแทรกเกร็ดประวัติศาสตร์ต่าง ๆ เช่น คดีการตัดสินว่า Queen Mary of Scot เป็นกบฎโดยใช้ความรู้เรื่องการถอดรหัสที่เธอสร้างขึ้น และยังมีแบบฝึกหัดการแก้รหัสที่ใส่มาในเล่มเพื่อให้คนอ่านได้ร่วมสนุกไปด้วยกัน โดยเรียงจากง่ายไปยาก โดยในเล่มเขาบอกว่าสองข้อสุดท้ายเหมาะสำหรับผู้ที่ทุ่มเทอย่างจริงจัง ซึ่งสารภาพว่าผู้เขียนยังไม่ได้ลองทำทั้งหมดเช่นกัน

คุณ Simon Singh ที่มาภาพ: sofiaglobe

นอกจากการถอดรหัสที่หมายถึงการทำความเข้าใจรหัสลับที่อีกฝ่ายจงใจสร้างขึ้น อย่างการถอดรหัส Enigma ที่กองทัพเยอรมันใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว ความรู้เรื่องการถอดรหัสยังถูกเอาไปในการถอดคำแปลจารึกโบราณหรือภาษาต่าง ๆ เช่น Hieroglyph ซึ่งคือระบบอักษรภาพของชาวอียิปต์โบราณ หรือ Linear B ซึ่งคือระบบอักษรที่ใช้ในอารยธรรมไมซีนีเมื่อประมาณ 1450–1200 ปีก่อนคริสต์ศักราชอีกด้วย เพราะการพยายามอ่านจารึกโบราณนั้นแทบไม่ต่างอะไรเลยกับการถอดรหัสลับ

เรามาเริ่มกันที่รหัสลับที่ตั้งใจให้ทำให้ถอดยากอย่าง Enigma กันก่อน อย่างที่บอกไปว่าการแก้รหัส Enigma นั้นที่จริงแล้วเกิดจากการรวบรวมไอเดียของนักแก้รหัสหลากหลายคน แต่จุดสำคัญที่ทำให้ Alan Turing สามารถถอดรหัสจนสำเร็จนั่นก็คือ เขาทราบว่าในทุก ๆ เช้า ทางการทหารของเยอรมันนีจะส่งรหัสเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศ ซึ่งขึ้นต้นด้วยคำว่า "Wetter" ที่แปลว่าพยากรณ์อากาศในภาษาเยอรมัน พูดอีกอย่างก็คือ เขาทราบว่าจากรหัสอันซับซ้อนที่ฝั่งเยอรมันส่งมานี้ จะต้องมีส่วนหนึ่งที่แปลได้เป็นคำว่า Wetter ในทางการแก้รหัส

สิ่งนี้เปรียบเสมือน "โพย" ในการแก้รหัส ซึ่งเรียกว่า crib และการมี crib นี่เองที่ทำให้ Alan Turing มีจุดเริ่มต้นที่ดีจนถอดรหัส Enigma ได้อย่างสมบูรณ์

ตัวอย่างการเข้ารหัสโดยเครื่อง Enigma ที่มาภาพ: matematiksider

การถอดข้อความจากจารึกโบราณนั้นยากกว่ามากเพราะเราอาจไม่มี crib มาช่วย แต่ตัวอย่างหนึ่งของ crib ที่โด่งดังคือศิลา Rosetta ที่ถูกค้นพบในปี 1799 ซึ่งมีข้อความเดียวกันแต่เป็นสามภาษาในแผ่นเดียว ศิลานี้ช่วยให้ Thomas Young สามารถถอดรหัสอักษรไฮโรกลิฟิกได้ ส่วนการออกเสียงนั้นเขาสังเกตจากสัญลักษณ์วงรีล้อมรอบหรือ Cartouche ที่มักจะสื่อถึงชื่อสำคัญเช่นชื่อกษัตริย์ เขาจึงลองผิดลองถูกจนสามารถถอดเสียงอ่านของอักษรไฮโรกลิฟิกได้เช่นกัน

สัญลักษณ์ Cartouche ที่มาภาพ: Wikipedia

ต่างจากการถอดรหัสอักษร Linear B ซึ่งเป็นตัวอย่างที่น่าสนใจเพราะเป็นการถอดรหัสที่ไม่พึ่งพา crib เลย ทุกอย่างจึงต้องมีพื้นฐานมาจากการลองผิดลองถูกและมีสังเกตที่ดี โดยคุณ Alice Kober ได้ตั้งข้อสังเกตแรกเกี่ยวกับคำในอักษร Linear B ว่า

หลาย ๆ คำจะมีชุดคำที่สะกดคล้ายกัน แต่เปลี่ยนอักษรท้ายเล็กน้อย เธอจึงสรุปว่า Linear B มีการผันคำลงท้าย และจากการวิเคราะห์เสียงพยัญชนะและสระเพิ่มเติม ทำให้เธอคาดการณ์จำนวนพยัญชนะและสระในอักษร Linear B ได้อีกด้วย

คุณ Alice Kober ผู้เริ่มตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับอักษร Linear B ที่มาภาพ: blog.adafruit

ต่อมา Michael Ventris รับไม้ต่อมาจาก Alice Kober โดยเขาสังเกตเกี่ยวกับเสียงสระต้นคำต่าง ๆ ทำให้จัดหมวดหมู่อักษรตามเสียงสระและเสียงพยัญชนะได้ แต่คำถามถัดมาก็คือเขาจะรู้ได้ไงว่าแต่ละเสียงอ่านว่าอะไร คำถามนี้จะต้องใช้เทคนิคที่ใช้กันในการแก้รหัสนั่นก็คือการสังเกตความถี่คำ เขาสังเกตคำหลาย ๆ คำที่มักปรากฏบ่อย ๆ และคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นชื่อเมืองสำคัญของอารยธรรมไมซีนี ซึ่งก็คือ เมือง Amnisos เมือง Tulissos และเมือง Knossos ซึ่งเมื่อพิจารณาจากตารางเสียงทำให้เขาได้ข้อมูลค่อนข้างมาก จนสุดท้ายเขาก็สามารถถอดเสียงอ่านของอักษร Linear B ได้ทั้งหมด

คุณ Michael Ventris ผู้ถอดเสียงอ่านอักษร Linear B ได้สมบูรณ์ ที่มาภาพ: historytoday

การถอดรหัสภาษาที่ไม่คุ้นเคยต้องอาศัยการสังเกตอย่างมาก และจะมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นเมื่อใช้เครื่องมือต่าง ๆ ในทางคณิตศาสตร์ เช่น การวิเคราะห์ความถี่ของตัวอักษร การวิเคราะห์คู่อักษรที่มักปรากฏร่วมกัน ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับภาษาเป้าหมาย และแนวคิดต่าง ๆ ในทางภาษาศาสตร์

ความถี่ของอักษรที่ปรากฏในภาษาอังกฤษ ที่มาภาพ: crypto.interactive-maths

นอกเหนือจากเรื่องที่ยกมาเล่าในบทความนี้ The Code Book ยังเล่าเรื่องที่น่าสนใจอื่น ๆ อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็น หลักการทั่วไปในการถอดข้อความที่เข้ารหัส ความสำคัญของกุญแจเข้ารหัส หรือความรู้ทางควอนตัมฟิสิกส์ที่ช่วยในการเข้ารหัสแบบใหม่ ๆ ซึ่งโดยส่วนตัวคิดว่าเป็นหนังสือที่เหมาะสำหรับการอ่านในจังหวะที่มีกระดาษทดอยู่ข้าง ๆ ตัวด้วย จะได้ตามเนื้อหาได้สนุกมากขึ้น

ใครที่สนใจ The Code Book สามารถหาซื้อได้ที่ร้านหนังสือทั่วไป หรือถ้าในงานหนังสือรอบนี้ก็ที่บูธ J33 สำนักพิมพ์วีเลิร์นครับ